การกำหนดรายละเอียดของข้อสัญญาที่เป็นธรรมในสัญญาซื้อขายสินค้าและบริการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
![]() |
ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม |
ประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องของข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540และมีกฎหมายพิเศษฉบับหนึ่งที่คุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไว้โดยเฉพาะคือพระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 และในส่วนต่อไปจะศึกษาเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์ที่เป็นแนวทางของสหภาพยุโรปได้แก่Directive2011/83 EU on Consumer right และ Directive2000/31/EC on Electronic Commerce และหลักกฎหมายภายในของประเทศเยอรมนี
1.1 หลักเกณฑ์ตามกฎหมายไทยในการกำหนดรายละเอียดของข้อสัญญาที่เป็นธรรมในกรณีของสัญญาซื้อขายสินค้าและบริการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
หลักกฎหมายเฉพาะในการกำหนดรายละเอียดของข้อสัญญาที่เป็นธรรมที่จะปรับใช้ได้กับกรณีของสัญญาซื้อขายสินค้าและบริการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 “ตลาดแบบตรง” หมายความว่า “การทาตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทางและมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละรายตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงนั้น”
การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการทำสัญญาแก่ผู้บริโภคกฎหมายได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่งคือ การกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ให้ข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นให้ผู้บริโภคได้ทราบเพื่อการเข้าทำสัญญา ได้แก่
(1) การให้ข้อมูลก่อนจะเข้าทำสัญญาตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรงฯมาตรา 28 กำหนด
ให้ ผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงที่ทำการตลาดในลักษณะของการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการนั้นจะต้องใช้ข้อความในการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งถือได้ว่าการกำหนดข้อความที่จะใช้ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการนี้เป็นการให้ข้อมูลที่ผู้บริโภคจะได้รับรู้ก่อนเข้าทำสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจ อย่างไรก็ดีในขณะนี้ยังไม่มีการออกกฎกระทรวงที่กำหนดรายละเอียดในเรื่องนี้แต่อย่างใด
(2) การให้ข้อมูลหลังการทำสัญญา ตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรงฯมาตรา 30 และมาตรา 31 กำหนดให้
ผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงมีหน้าที่ส่งมอบ “เอกสารการซื้อขาย” สินค้าหรือบริการแก่ผู้บริโภค โดยกำหนดให้เอกสารการซื้อขายนั้นต้องมีข้อความภาษาไทยที่อ่านเข้าใจง่าย และจะต้องมีรายละเอียดดังนี้
• ชื่อผู้ซื้อและผู้ขาย
• วันที่ซื้อขายและวันที่ส่งมอบสินค้าหรือบริการ
• สิทธิของผู้บริโภคในการเลิกสัญญาซึ่งสิทธิเลิกสัญญาดังกล่าวต้องกำหนดด้วยตัวอักษรที่เห็นเด่นชัดกว่าข้อความทั่วไป
• กำหนดเวลา สถานที่ และวิธีการในการชำระหนี้
• สถานที่และวิธีการในการส่งมอบสินค้าหรือบริการ
• วิธีการเลิกสัญญา
• วิธีการคืนสินค้า
• การรับประกันสินค้า
• การเปลี่ยนสินค้าในกรณีมีความชำรุดบกพร่อง
การที่พระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจส่งมอบเอกสารการซื้อขายแก่ผู้บริโภคเพื่อรักษาสิทธิในการเยียวยาความเสียหายที่ได้รับซึ่งเป็นขั้นตอน ”หลัง” เกิดสัญญาขึ้นโดยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการได้รู้ถึงรายละเอียดของข้อสัญญาแก่ผู้บริโภค “ก่อน” เข้าทำสัญญานั้นอาจเป็นการกำหนดมาตรการการคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่เพียงพอโดยเฉพาะกับกรณีของการซื้อสินค้าและบริการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
![]() |
ข้อสัญญาที่ไม่เเป็นธรรม |
1.2 หลักเกณฑ์ของต่างประเทศในการกำหนดรายละเอียดของข้อสัญญาที่เป็นธรรมในสัญญาทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การศึกษาถึงหลักเกณฑ์ของต่างประเทศจะเลือกศึกษากับแนวทางของสหภาพยุโรปได้แก่ Directive2011/83 EU on Consumer Right และ Directive2000/31/EC on Electronic Commerce ในการกำหนดรายละเอียดของข้อสัญญาในกรณีของสัญญาซื้อขายสินค้าและบริการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1.การกำหนดข้อมูลต่าง ๆที่ต้องแจ้งแก่ผู้บริโภคในการทำธุรกรรมการซื้อขายสินค้าทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางของสหภาพยุโรป
ต้องแจ้งแก่ผู้บริโภคเพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้ “ก่อน” ทำสัญญา กำหนดให้การทำธุรกรรมการซื้อขายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็น“การทำสัญญาที่ห่างกันโดยระยะทาง”(Distance Contract)ลักษณะทางกายภาพคู่สัญญาทั้งสองยังคงอยู่ห่างไกลกันโดยระยะทางและไม่ได้แสดงเจตนาซึ่งหน้ากับผู้ประกอบธุรกิจกัน
1) รายละเอียดของผู้ประกอบธุรกิจ
• ชื่อของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งต้องสามารถระบุตัวตนของผู้ประกอบธุรกิจในความเป็นจริงได้
เช่น ชื่อในทางการค้า
• ที่อยู่ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสถานประกอบกิจการหมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร หรือE-mail
• หมายเลขทะเบียนทางการค้าองค์กรหรือสมาคมที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นสมาชิกรวมทั้งช่องทางเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถติดต่อกลับผู้ประกอบธุรกิจได้โดยตรงอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ชักช้า
• นอกจากนี้ผู้ประกอบธุรกิจยังมีหน้าที่ที่จะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวแทนทางการค้าของตนด้วย
ข้อกำหนดว่าด้วยการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 2000/31/EC มาตรา 5 ยังกำหนดให้ผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าทาง e-Commerce อาทิ ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet Service Providers)ผู้ให้บริการโฮสติ้ง (Hosting Service Providers) ผู้ให้บริการจัดเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Internet Content Service Providers) มีหน้าที่จะต้องให้รายละเอียดข้อมูลต่างๆของตนทั้งชื่อ ที่อยู่ หมายเลขทะเบียนการค้ารวมทั้งข้อมูลในการติดต่อทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์แก่ผู้ใช้บริการด้วย ดังนั้นเว็บไซต์ประเภทตลาดสินค้า ผู้ให้บริการเว็บบล็อกหรือผู้ให้บริการเว็บขายสินค้าจึงมีหน้าที่ต้องแจ้งรายละเอียดของตนให้ผู้บริโภคทราบด้วย
2) รายละเอียดสินค้า
ข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิผู้บริโภค 2011/83/EU มาตรา 6(1) (a) กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่จะต้องแจ้งลักษณะหลักและคุณสมบัติของสินค้าที่เป็นสาระสำคัญและจำเป็นต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในลักษณะที่สามารถเข้าใจได้ตามสมควร
3) รายละเอียดราคาและการส่งมอบสินค้า
ข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิผู้บริโภค 2011/83/EU มาตรา6 (1) (e) and (g)และข้อกำหนดว่าด้วยการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์2000/31/EC มาตรา 5 (2) กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องแจ้งราคาสินค้าสุทธิซึ่งต้องรวมทั้งค่าภาษี ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ค่าระวางสินค้าหรือค่าบริการจัดส่งทางไปรษณีย์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง
4) รายละเอียดเกี่ยวกับสัญญา
ข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิผู้บริโภค2011/83/EU มาตรา 6 (1) (m),(o),(p),(r) และ (t) กำหนดรายละเอียดของสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องแจ้งให้ผู้บริโภคทราบล่วงหน้าก่อนการสั่งซื้อสินค้า เช่น ชื่อและที่อยู่ของผู้ประกอบธุรกิจรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า วิธีการจัดส่ง การชำระราคา กำหนดระยะเวลาที่สัญญานั้นมีผลบังคับ หน้าที่ของผู้บริโภคตามสัญญา บริการหลังการขายและการรับประกันสินค้า สิทธิตามกฎหมายของผู้บริโภค รวมทั้งเงื่อนไขในการเลิกสัญญาลักษณะวิธีการในการจัดเก็บข้อมูลดิจิตอล และวิธีการในการระงับข้อพิพาทด้วยทางเลือกอื่นนอกจากการใช้สิทธิทางศาล
5) สิทธิพิเศษตามกฎหมายผู้บริโภค 2 ประการ คือ
5.1) สิทธิในการเลิกสัญญา
สิทธิในการเลิกสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องแจ้งแก่ผู้บริโภคให้ทราบนั้นมี 2 กรณี กล่าวคือ สิทธิในการเลิกสัญญาตามกรณีโดยทั่วไปและสิทธิเลิกสัญญาในกรณีพิเศษ
5.2) ระยะเวลารับประกันสินค้า
ระยะเวลารับประกันสินค้าอย่างน้อย 2 ปีนับแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจส่งสินค้า การรับประกันในตัวสินค้าจากผู้ประกอบธุรกิจว่าสินค้า นั้นจะมีคุณภาพและคุณสมบัติตรงตามที่ผู้ประกอบธุรกิจพรรณนาและเหมาะสมต่อการใช้งานตามสภาพโดยปกติของสินค้าชนิดนั้น ในกรณีที่พบว่าสินค้านั้นไม่เป็นไปตามที่ผู้ประกอบธุรกิจพรรณนา ผู้บริโภคมีสิทธิร้องขอให้ผู้ประกอบธุรกิจทำการซ่อมแซม เปลี่ยนหรือลดราคาค่าสินค้าให้ตามแต่กรณี
2.การกำหนดข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องแจ้งแก่ผู้บริโภคในการทำธุรกรรมการซื้อขายสินค้าทางพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางของกฎหมายเยอรมัน
ประเทศเยอรมนีเป็นประเทศหนึ่งในสมาชิกสหภาพยุโรปที่ต้องรับข้อกำหนด (EU-Directives) เข้ามาปรับบังคับใช้เป็นกฎหมายภายในของตน จึงทำให้กฎหมายการทำธุรกรรมการซื้อขายสินค้าทางพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ของเยอรมันมีลักษณะคล้ายกับสหภาพยุโรป
1) ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ประกอบธุรกิจ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน มาตรา 312c กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ชื่อและที่อยู่สถานประกอบกิจการที่จดทะเบียน หมายเลขทะเบียนนิติบุคคล หมายเลขทะเบียนทางการค้า ชื่อและที่อยู่ของตัวแทน ผู้ประกอบธุรกิจในประเทศที่ผู้บริโภคอาศัยอยู่(ถ้ามี) หรือบุคคลที่ผู้บริโภคทำการติดต่อด้วยให้ผู้บริโภคทราบ
2) ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียด ราคาของสินค้า และวิธีการจัดส่ง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน มาตรา 312c กำหนดถึงหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจที่จะต้องแจ้งราคาค่าสินค้าสุทธิซึ่งราคาที่ต้องแจ้งให้ผู้บริโภคทราบนั้นจะต้องเป็นราคาที่รวมค่าภาษีอากร ค่าจัดส่ง ค่าบริการทางไปรษณีย์ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
3) รายละเอียดเกี่ยวกับสัญญา
กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องแจ้งข้อสัญญาที่จำเป็นต้องทราบ อาทิ ชื่อคู่สัญญา ลักษณะสินค้าและราคา กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของสัญญา ข้อสงวนสิทธิหรือข้อจำกัดสิทธิต่างๆของผู้ประกอบธุรกิจ โดยที่ข้อสัญญาดังกล่าวจะต้องนำเสนอในรูปแบบที่ชัดเจนสามารถอ่านออกและเข้าใจได้ นอกจากนี้ผู้บริโภคจะต้องสามารถเรียกดูข้อสัญญาดังกล่าวขึ้นมาได้หรือทำการจัดเก็บไว้ตามรูปแบบที่เห็นสมควรได้
4) สิทธิตามกฎหมายของผู้บริโภค
เวลาที่ผู้บริโภคตกลงสั่งซื้อสินค้าในตอนแรกนั้นจึงยังถือไม่ได้ว่าผู้บริโภคได้ไตร่ตรองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบแล้วดังนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค ในกรณีดังกล่าว โดยประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันมาตรา 312d จึงกำหนดให้ผู้บริโภคมีสิทธิยกเลิกหรือคืนสินค้าสัญญาได้โดยอำเภอใจ
ข้อเสนอแนะถึงการกำหนดรายละเอียดของสัญญาซื้อขายสินค้าและบริการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย
รายละเอียดของข้อสัญญาที่อาจพัฒนาเป็นสัญญามาตรฐานในการซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์มีดังนี้ (1) ชื่อและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจเช่น ชื่อ และที่อยู่สถานประกอบกิจการที่จดทะเบียน หมายเลขทะเบียนธุรกิจและเลขทะเบียนใบอนุญาต รวมทั้งข้อมูลในการติดต่อสื่อสาร เช่น หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล และวิธีการที่ผู้บริโภคจะสามารถติดต่อผู้ประกอบธุรกิจได้ในทันที ด้วยข้อความในลักษณะที่ชัดเจน ถูกต้อง ง่ายต่อการติดต่อ ทั้งนี้ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องไม่ใช้ลักษณะพิเศษของการอิเล็กทรอนิกส์ในการปกปิดตัวตนหรือสถานประกอบการที่แท้จริง(2) รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
(3) รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการและสถานที่การจัดส่งสินค้าหรือบริการ
(4) รายละเอียดเกี่ยวกับราคาสินค้าหรือค่าบริการและค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ผู้ประกอบธุรกิจเรียกเก็บ วิธีการชำระราคา และเงื่อนไขในการชำระราคา
(5) รายละเอียดและเงื่อนไขในการคืน หรือเปลี่ยนสินค้ากรณีสินค้าชำรุดบกพร่อง รวมทั้งข้อมูลและวิธีการคืนเงิน ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับที่กฎหมายเกี่ยวกับการตลาดแบบตรงได้กำหนดไว้ในเรื่องการส่งคืนสินค้าแต่ละประเภท เช่น สินค้าที่เป็นของเสียง่าย ฯลฯ (6) สิทธิของผู้บริโภคตามกฎหมายในการเลิกสัญญาโดยไม่ต้องอ้างเหตุผลใด ๆ ด้วยการแสดงเจตนาไปยังผู้ประกอบธุรกิจภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับสินค้าหรือบริการ
(7) กำหนดระยะเวลาที่สัญญามีผลบังคับ ข้อจำกัด หรือเงื่อนไขในการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่เป็นธรรม
(8) คำเตือนในการใช้งานสินค้าตามปกติอย่างเหมาะสม ทั้งในเรื่องความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจมีต่อสุขภาพ
(9) รายละเอียดเกี่ยวกับการให้บริการหลังการขาย
(10) ข้อสัญญาเกี่ยวกับการรับประกันสินค้า
(11) ข้อสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจให้ความยินยอมไว้ล่วงหน้าว่า หากเกิดข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาและผู้บริโภคประสงค์จะใช้การระงับข้อพิพาททางเลือก ผู้ประกอบธุรกิจตกลงยินยอมที่จะใช้วิธีการระงับข้อพิพาททางเลือกที่ผู้บริโภคเลือกใช้ได้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น